P-Tire Express : Tire Store & Service Center
  • เจาะลึกเรื่องรายละเอียดบนแก้มยางรถยนต์

    สำหรับบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึงรายละเอียดต่างๆ ที่ปรากฏบนแก้มยางรถยนต์แบบละเอียดยิบ ให้ทุกท่านกระจ่างแจ้งกันไปเลยว่า สัญลักษณ์ และตัวอักษรต่างๆนั้นมีความหมายอะไร



    ซ้ายสุด บอกขนาดยาง
    กลาง ตัวเลขบอกสัปดาห์และปีที่ผลิต
    ขวาสุด เป็นหมึกปั๊ม ผลิตเดือน 9 ปี 2543

    รหัสบอกขนาด เช่น 195/60R15 87V หมายความว่าอย่างไร?

    195 คือ ความกว้างของยาง แต่ไม่ใช่ความกว้างของหน้ายางตามที่เข้าใจกัน (หน่วยเป็นมิลลิเมตร)

    60 คือ ซีรีส์ หรือความสูงของแก้มยางทั้งหมด แต่ไม่ใช่เฉพาะส่วนที่เห็นเมื่อใส่กับกระทะล้อแล้ว แต่รวมขอบด้านในที่แนบกับขอบกระทะล้ออยู่ด้วย เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์จากความกว้างของยาง หรือตัวเลขกลุ่มแรก (ซีรีส์ระบุเป็นเปอร์เซนต์ ไม่ใช่มิลลิเมตร)

    R คือ ตัวย่อประเภทของยาง R-RADIAL ยางเสริมใยเหล็ก

    15 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ (หน่วยเป็นนิ้ว) ซึ่งต้องพอดีกับยาง (ส่วนความกว้างสามารถใช้ขนาดทดแทนได้ในบางไซส์)

    87 คือ รหัสการรับน้ำหนัก ต้องดูในตารางเปรียบเทียบ เดาไม่ได้ มีหน่วยเป็นกิโลกรัม

    V คือ ความเร็วสูงสุดที่ยางเส้นนั้นรองรับได้ ต้องดูในตารางเปรียบเทียบ เดาไม่ได้ พบอักษร S T U H V Z R บ่อย มีหน่วยเป็นกิโลเมตร/ชั่วโมง

    195 จากตัวอย่าง ไม่ใช่ความกว้างของหน้ายาง แต่คนส่วนใหญ่คิดว่า 195 เป็นความกว้างของหน้ายางโดยมีหน่วยเป็น มิลลิเมตร โดยวัดจากหน้าสัมผัสยางจากซ้ายสุด-ขวาสุด ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ 195 เป็นความกว้างของส่วนที่กว้างที่สุดของยางเส้นนั้น ระหว่างด้านซ้าย-ขวาซึ่งเป็นบริเวณที่ป่องที่สุดของแก้มยาง เมื่อยางเส้นนั้นถูกนำไปใส่ในกระทะล้อที่มีความกว้างเหมาะสม และเติมลมยางแล้ว ความกว้างของยางที่ระบุไว้ ไม่ใช่บริเวณหน้ายางที่สัมผัสพื้น ส่วนหน่วยความกว้างเป็นมิลลิเมตรนั้นถูกต้องแล้ว โดยเฉพาะยางสำหรับรถยนต์ทั่วไป ตัวเลขที่ระบุบนแก้มยาง คือ ความกว้างของยาง ซึ่งมักมีหน้ายางที่สัมผัสพื้นจริงๆ น้อยกว่าตัวเลขที่ระบุไว้ ประมาณ 15-35 มิลลิเมตร แตกต่างกันในยางแต่ละรุ่นและยี่ห้อ (สามารถทดลองวัดได้ด้วยไม้บรรทัด) จึงมีส่วนทำให้ยางขนาดความกว้างดียวกัน มีประสิทธิภาพการเกาะถนนต่างกัน เพราะความกว้างของหน้ายางจริงๆ แตกต่างกัน


    ความกว้างของยาง วัดจากส่วนที่ป่องสุดของยาง ซึ่งหน้ายางที่สัมผัสพื้นจริงๆ จะแคบกว่าประมาณ 15-35 มิลลิเมตร

    ยางรุ่นนี้กว้าง 185 มิลลิเมตร แต่มีหน้าสัมผัสพื้น 160 มิลลิเมตร

    ยางรุ่นนี้กว้าง 195 มิลลิเมตร แต่มีหน้าสัมผัสพื้น 175 มิลลิเมตร

    ยางรุ่นนี้กว้าง 175 มิลลิเมตร แต่มีหน้าสัมผัสพื้น 140 มิลลิเมตร

    ยางขนาด 185 ซีรีส์ 65 มีแก้มยางสูง 120.25 มิลลิเมตร โดยวัดจากขอบของหน้ายางถึงขอบในสุด

    ยางขนาด 195 ซีรีส์ 60 มีแก้มยางสูง 117 มิลลิเมตร โดยวัดจากหน้ายางถึงขอบในสุด

    กระทะล้อขนาด 13 นิ้ว ไม่ได้วัดถึงขอบนอก แต่วัดถึงแค่จุดในสุดที่ยางแนบกับขอบกระทะ

    ตัวเลข 99 ต่อท้ายขนาดยาง บอกการรับน้ำหนักของยางแต่ละเส้น และตัวอักษรใช้บอกความเร็วสูงสุดที่ยางรับได้ ต้องเทียบจากตางราง และจะเห็นว่ามีรายละเอียดบอกอยู่มากมายจนลายตา

    และความกว้างของกระทะล้อ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน้าสัมผัสจริงของยาง เพราะถ้าใช้กระทะล้อแคบกว่าความเหมาะสมของความกว้างของยาง ขอบยางที่ต้องแนบกับขอบกระทะล้อก็ต้องถูกบีบเข้า แก้มที่ถูกบีบเข้าจะทำให้หน้ายางด้านริมทั้งสองถูกยกขึ้น ส่งผลโดยตรงให้หน้าสัมผัสจริงแคบลงไปอีก

    การเพิ่มความกว้างของยางมากกว่าขนาดมาตรฐาน มีข้อดี คือ เพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัสยางช่วยในการยึดเกาะถนน แต่ก็มีข้อเสียตามมาด้วย เช่น ราคายางแพงขึ้น รถยนต์มีอัตราเร่งแย่ลง กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น

    ซีรีส์ ต้องคำนวณก่อน
    แค่ตัวเลขซีรีส์บนแก้มยาง เช่น 70, 65, 60, 55, 50 ไม่สามารถสรุปได้ว่ายางที่มีตัวเลขซีรีส์น้อยต้องมีแก้มเตี้ยกว่าเสมอไป เพราะนั่นเป็นแค่ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่มิลลิเมตรตรงตัว จึงต้องขึ้นอยู่กับความกว้างของยางด้วย

    ยกตัวอย่าง เช่น ยาง 60 ซีรีส์ ขนาด 205/60R14 มีแก้มสูง 205 x (60/100) = 123 มิลลิเมตร

    ยาง 65 ซีรีส์ ขนาด 185/65R14 มีแก้มสูง 185 x (65/100) = 120.25 มิลลิเมตร

    จากตัวอย่างพบว่า ยาง 60 ซีรีส์กลับมีแก้มสูงกว่ายาง 65 ซีรีส์



    มักมีข้อสงสัยกันอยู่เสมอว่า ใส่ยางขอบ 16-17 นิ้ว แทนขอบ 15 นิ้วของเดิมจะติดบังโคลนไหม หรือยางจะสูงขึ้นไหม เพราะดูเผินๆ จากตัวเลข 15 16 กับ 17 เห็นตัวเลขมาก ก็เลยรีบสรุปว่ายางขอบ 17 นิ้ว ต้องเป็นวงใหญ่กว่าขอบ 15 หรือ 16 นิ้ว ซึ่งการคิดเช่นนั้นไม่สามารถให้คำตอบที่แท้จริงได้ เพราะตัวเลขที่บอกเป็นขนาดกระทะล้อสำหรับใส่ยางเส้นนั้น ขนาดความสูงยางจึงขึ้นอยู่กับความสูงของแก้มยาง และยางขอบ 16 นิ้ว แก้มสูงๆ มีโอกาสที่จะมีความสูงมากกว่ายางแก้มเตี้ยขอบ 17 นิ้วก็ได้

    ผลิตเมื่อไร ? เลี่ยงยางเก่าเก็บ
    รหัสบนแก้มยางที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจ หรือบางคนสนใจและพยายามจะทราบ แต่ไม่ค่อยมีใครอยากบอก คือ วันที่ยางเส้นนั้นผลิต เพราะผู้ขายหรือผู้ผลิต กลัวจะขายยางเก่าเก็บไม่ได้ แต่ผู้ผลิตก็ต้องระบุลงไป เพื่อไม่ให้ผิดกฏของหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค เพียงแต่ถ้าไม่ถามก็จะไม่บอก ยางรถยนต์สามารถหมดสภาพได้ แม้เป็นยางใหม่ที่เก็บไว้เฉยๆ ก็เริ่มเสื่อมสภาพลงตั้งแต่ผลิตเสร็จ แล้วลดอายุการใช้งานลงเรื่อยๆ เมื่อเก็บไว้หลายปี แม้การเก็บยางอย่างถูกวิธีจะชะลอการหมดอายุลงได้ และไม่หมดอายุเร็วเท่ากับการใช้งานบนถนนจริง แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงการซื้อยางเก่าเก็บ ซึ่งผู้ผลิตหลายรายบอกว่า 2-3 ปีก็ยังใช้ได้ แต่ในแง่ของผู้บริโภคแล้ว ยิ่งใหม่เท่าไรก็ยิ่งดี

    ถ้าเป็นยางนำเข้าหรือยางผลิตในประเทศ ที่มีทั้งการจำหน่ายในประเทศและการส่งออก จะมีตัวเลข 3-4 หลักอยู่ในวงรี บอกสัปดาห์และเลขตัวท้ายๆ ของปี ค.ศ. ที่ผลิตยางเส้นนั้นไว้แบบลบไม่ได้ เพราะเป็นเนื้อยางที่อยู่บนแก้มยาง หล่อออกมาจากแม่พิมพ์เลย และเป็นมาตรฐานเดียวกันที่ใช้ทั่วโลก ตัวเลขนั้นอยู่ในวงรีแนวโค้งเดียวกับแก้มยาง อาจอยู่ใกล้กับตัวอักษร DOT และอาจมีเพียงข้างเดียวในยาง 1 เส้น

    ตัวเลขบอกสัปดาห์และปีที่ผลิต ในยางที่ผลิตก่อนปี 2000 มีแค่ 3 หลัก จากตัวอย่าง ผลิต. สัปดาห์ที่ 28 ปี 1999

    ยางที่ผลิตในปี 2000 ตัวเลขบอกสัปดาห์และปีที่ผลิต จะมี 4 หลัก จากตัวอย่าง ผลิตสัปดาห์ที่ 41 ปี 2000

    ยางเส้นนี้ผลิตสัปดาห์ที่ 38 ปี 2000

    ตัวเลขบอกวันผลิตยางของยางรถยนต์บางรุ่น โดยเฉพาะที่ผลิตในไทย เป็นแบบรหัสแม่พิมพ์ ต้องเปิดตารางเทียบ ซึ่งผู้ผลิตมักไม่เปิดเผย(ในภาพเดาว่า เลข 0 คือ เลขท้ายของปี 2000 แต่ก็ไม่มีการยืนยัน

    ยางรถยนต์ที่ผลิตก่อนปี 2000 จะเป็นเลข 3 หลัก เช่น 449 หรือ 328 โดยเลข 2 ตัวแรกบอกสัปดาห์ที่ผลิต และตัวเลขท้ายสุด คือ ตัวเลขสุดท้ายของปี ค.ศ. ที่ผลิต เช่น 127 ก็เป็นยางที่ผลิตสัปดาห์ที่ 12 ของปี 1997

    พอมาถึงปี 2000 และตั้งแต่ปัจจุบันนี้เป็นต้นไป มีการเปลี่ยนมาเป็นเลข 4 หลัก เพื่อป้องกันความสับสนกับยางที่ผลิตก่อนปี 2000 และค้างสต็อกอยู่
    ตัวอย่าง 1300, 3500, 4100 เลข 2 ตัวแรกบอกสัปดาห์ที่ผลิต และ 2 ตัวท้าย คือ เลข 2 ตัวสุดท้ายของปี ค.ศ. ที่ผลิต เช่น 3600 เป็นยางที่ผลิตสัปดาห์ที่ 36 ของปี 2000

    ซ้ายเป็นหมึกปั๊มที่มีเฉพาะยางบางรุ่น ขวาเป็นตัวเลขรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุดของยางแต่ละเส้น และแรงดันลมยางสูงสุดที่ยางรับได้

    ส่วนยางบางยี่ห้อที่ผลิตจำหน่ายเฉพาะในประเทศไทย เช่น บริดสโตนบางรุ่น ในเนื้อยางบริเวณแก้มก็มีรหัสระบุถึงวันที่ผลิต แต่ไม่เหมือนกับข้างต้น เพราะเป็นรหัสเฉพาะ เช่น L0Y3A ต้องเปิดตารางเทียบ ซึ่งผู้ผลิตไม่เปิดเผย ในเมื่อผู้ซื้ออ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็เลยมีการทดแทนด้วยการปั๊มหมึกสีอ่อนไว้บนแก้มยาง เป็นรูปวงกลมขนาดเล็กแบ่งครึ่งบนล่าง ครึ่งบนบอกเดือน และปี พ.ศ. เช่น 11 43 ส่วนครึ่งล่างไม่ต้องสนใจ เพราะเป็นตัวเลขรหัสประจำตัวของผู้ตรวจยางเส้นนั้น บางร้านพอยางเก่าเก็บ ก็จะลบหมึกวงกลมนี้ออก เพื่อไม่ให้ทราบวันผลิตจริง ถ้าเจออย่างนั้น ควรหลีกเลี่ยง ถ้าเป็นยางนำเข้า หากยังไม่แกะออกจากห่อ ที่ตัวห่อหรือสติกเกอร์ที่ติดไว้ อาจมีรายละเอียดวันที่ผลิตระบุไว้ด้วย ถ้าหาที่แก้มยางไม่เจอ ให้ลองหาที่ตัวห่อก็อาจเจอ

    ดอกยาง ไม่ได้มีไว้ให้เกาะ แต่มีไว้รีดน้ำ
    ยังมีความเข้าใจผิดและพูดกันผิดๆ ต่อเนื่องกันในวงกว้าง ว่าดอกยางหรือยางที่มีร่องๆ เป็นลวดลาย มีไว้ให้ยางเกาะถนน หรือถ้ายางดอกหมดแล้วจะลื่น ซึ่งตามหลักการจริงนั้น ผิด ตามความหมายของคนทั่วไป ยางที่ยังมีร่องอยู่บนหน้ายาง หมายถึง ยางมีดอก แต่ถ้าหน้ายางเรียบ ไม่มีร่องบนหน้ายาง ทั้งจากการสึกหรอหรือยางสำหรับรถแข่งทางเรียบ หมายถึง ยางดอกหมด ยางหัวโล้น ยางโล้น หรือยางไม่มีดอก จริงๆ แล้วตัวแท่งๆ บนหน้ายาง เรียกว่า 'ดอกยาง'ส่วนช่องว่างระหว่างดอกเรียกว่า 'ร่องยาง'

    ประเด็นสำคัญที่บอกว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คือ การคิดว่ายางโล้น ยางไม่มีดอก ไม่เกาะถนน เพราะการยึดเกาะของยางกับถนนเกิดจากหน้ายางที่กดแนบลงกับพื้น ยิ่งมีหน้าสัมผัสมาก ก็ยิ่งเกาะมากขึ้น ร่องยางซึ่งแทรกอยู่ระหว่างดอกยาง ก็มีแค่อากาศ ไม่ได้มีเนื้อยางกดลงบนพื้นแต่อย่างไร

    ดังนั้นถ้าหน้ายางมีความกว้างเท่ากัน ยางไม่มีดอก ไม่มีร่อง หรือยางหัวโล้น ย่อมมีพื้นที่สัมผัสถนนมากกว่ายางที่มีร่องระหว่างดอกยาง

    แล้วทำไมยางรถยนต์ทั่วไป จึงมีดอกหรือมีร่อง ทั้งที่ผลิตยากกว่าแบบเรียบ และต้องเสียหน้าสัมผัสกับพื้นถนนตรงช่วงที่เป็นร่องไป ?
    เพราะยางหน้าเรียบเกาะถนนดีบนถนนเรียบแห้งเท่านั้น แต่ถ้าถนนเปียกจะลื่นมาก เพราะหน้ายางที่แบนกว้าง จะไม่สามารถกดรีดน้ำออกจากหน้ายาง เพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นตามปกติได้ น้ำเลยกลายเป็นชั้นฟิล์มคั่นอยู่ระหว่างยางกับผิวถนน ก็เลยลื่นหรือมีอาการเหินน้ำ

    หน้ายางที่กว้างประมาณสิบเซ็นติเมตรขึ้นไป เมื่อกดลงบนพื้นถนนที่เปียกน้ำ ย่อมไม่สามารถรีดน้ำออกจากหน้าสัมผัสได้ เสมือนเอาฝ่ามือที่นิ้วมือชิดกัน กดแรงๆ ลงบนพื้นที่เปียกน้ำ

    การแบ่งหน้าสัมผัสออกเป็นบล็อกเป็นดอกด้วยร่องยาง ทำให้การกดรีดน้ำออกจากหน้ายางทำได้ดีขึ้น เพราะเท่ากับเป็นการรีดน้ำออกจากพื้นที่ย่อยๆ ที่แคบลง และมีร่องลึกอยู่รายรอบ เพื่อให้น้ำที่ถูกรีดแทรกตัวเข้าไปได้ และถ้าร่องต่อกันก็จะช่วยให้สลัดน้ำออกด้านข้างได้ดีขึ้นไปอีก เปรียบเทียบได้กับการกางนิ้วมือออก แล้วกดมือลงบนพื้นเปียกนั่นเอง

    เมื่อพบจุดสังเกตบนริมของแก้มยาง ซึ่งมักทำเป็นรูป 3 เหลี่ยม

    จุดสังเกตของยางบางรุ่นอยู่บนแก้มยาง บางรุ่นอยู่ใกล้กับดอกยางช่วงริมนอก

    จุดสังเกตของยางบางรุ่นก็เป็นตัวอักษร TWI

    เมื่อมองไล่เข้าไปก็จะพบสันนูนในร่องยาง

    สันนูนในร่องของยางบางรุ่นก็ไม่ตรงกันเป๊ะ แล้วแต่ว่าไล่จากจุดสังเกตที่ยางด้านไหน แต่ก็มองหาจากแนวสัญลักษณ์ที่แก้มได้

    ดอกหรือร่องยางจึงลดอาการลื่นของยาง เมื่อต้องขับรถยนต์ลุยฝนหรือบนถนนลื่น โดยต้องยอมเสียหน้าสัมผัสพื้นถนนบางส่วนให้เป็นร่องยางแทน

    ดังนั้นการบอกลอยๆ ว่า ยางดอกหมด ยางหัวโล้น แล้วจะลื่นนั้น ผิด

    เพราะที่ถูกต้อง น่าจะบอกว่า ยางดอกหมด ยางหัวโล้น จะลื่นบนถนนเปียก ส่วนบนถนนแห้งสนิทนั้น เกาะถนนดีกว่ายางมีดอก (ทั้งยางรถแข่งและรถยนต์ทั่วไป)

    แล้วทำไมเมื่อดอกหมดแล้วต้องรีบเปลี่ยนยางชุดใหม่ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าฝน ?

    เพราะรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไป ผู้ขับคงไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะเจอถนนเปียกเมื่อไร ขับไปแล้วอาจเจอโดยไม่ได้ตั้งตัว เพราะไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก หรือพื้นถนนเปียกจากน้ำรดต้นไม้

    ถ้ายางไม่มีร่อง หรือมีแต่ไม่ลึกพอให้น้ำเข้าไปแทรกอยู่ได้ ก็จะลื่นไถลได้ง่ายมาก ส่วนรถแข่งทางเรียบนั้น ถ้าฝนตกหรือผิวสนามลื่น ก็มักรู้ตัวก่อนและค่อยๆ ประคองรถเข้าพิต เพื่อเปลี่ยนเป็นยางมีดอก แล้วออกไปแข่งต่อ

    ปัจจุบันมีผู้ผลิตยางบางราย เริ่มผลิตยางรุ่นที่เน้นสำหรับการขับหรือแข่งบนทางเรียบแบบสมัครเล่น โดยออกแบบให้มีหน้าสัมผัสกับถนนมากๆ เป็นหลัก คือ มีร่อง แต่น้อยและแคบ และอยู่ห่างกันมาก เพื่อให้สามารถขับบนถนนเปียกได้บ้าง ไม่ถึงกับลื่นไถล แต่ก็ไม่สามารถรีดน้ำได้ดีเท่ากับยางทั่วไปที่มีร่องรีดน้ำมากกว่า

    เมื่อไรดอกยางหมด
    เมื่อดอกยางจุดที่เตี้ยที่สุด มีร่องลึกน้อยกว่า 1.5-2 มิลลิเมตร ซึ่งตัวเลข 1.5-2 มิลลิเมตรนี้ รวบรวมมาจากคำแนะนำของผู้ผลิตยางหลายยี่ห้อ จึงไม่สามารถสรุปเป็นตัวเลขตายตัวได้เป๊ะๆ

    ในความเป็นจริง ก็ไม่ค่อยมีใครหยิบไม้บรรทัดมาวัดหรือหาอะไรมาแหย่เพื่อวัดความลึกของร่องยาง เพราะไม่สะดวก และจริงๆ แล้วก็ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการวัด ดังนั้นส่วนใหญ่จึงดูด้วยสายตา และประเมินเอาว่าดอกยางหมดหรือยัง

    ในขั้นตอนการออกแบบและผลิต ผู้ผลิตยางได้อำนวยความสะดวกในการดูว่ายางดอกหมด หรือร่องตื้นเกินกว่าที่จะใช้งานบนถนนได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือวัด

    โดยในร่องยางบางจุดจะนูนขึ้นจากปกติประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร แต่มิได้นูนขึ้นมาจนเท่ากับหน้ายางตอนที่ยังใหม่ๆ สมมุติตอนใหม่ๆ ร่องลึก 8 มิลลิเมตรเท่ากันตลอด ก็จะมีในบางจุดที่ร่องลึกแค่ 6-6.5 มิลลิเมตร เสมือนมีเนินเตี้ยๆ อยู่ก้นหลุม ซึ่งเมื่อดอกยางสึกมากเข้า ก็จะเรียบเท่ากับยอดเนินเตี้ยๆ ที่ก้นหลุมนั้น

    จุดสังเกตของยางมิชลินเป็นรูปบีเบนดัม สัญลักษณ์ของมิชลิน

    ยางบางรุ่นมีการระบุทิศทางการหมุน ควรใส่ให้ถูกต้อง

    เป็นการบอกว่าดอกยางเตี้ยเกินไป หรือร่องโดยรวมตื้นเกินไปแล้ว หรือดูง่ายๆ สำหรับดอกยางที่มีลวดลายของร่องเป็นแนวตรงโดยรอบ ปกติแล้วร่องจะต่อกันตลอดแนว แต่พอดอกยางสึกลงไปจนบางส่วนเท่ากับเนินนั้น จนทำให้ร่องยางไม่ต่อกัน แสดงว่ายางเหลือร่องรีดน้ำเตี้ยเกินไปแล้ว

    การหาว่าจุดไหนของร่องยาง มีเนินเตี้ยๆ อยู่กันหลุมหรือที่ฐานของร่อง ไม่ต้องเดาหรือเสียเวลานาน เพราะมีจุดสังเกตได้จากขอบของแก้มยางบริเวณใกล้ๆ กับขอบริมของหน้ายาง จะมีตัวอักษร TWI หรือสัญลักษณ์รูป 3 เหลี่ยมขนาดเล็ก ชี้เข้าหาหน้ายาง

    เมื่อใช้จนยางสึกถึงสันนูนในช่องยาง ก็ควรเปลี่ยนยางชุดใหม่

    โดยปกติแล้วจะมี 6 จุดในแก้มยางแต่ละด้าน แบ่งห่างเท่าๆ กัน ในมุม 60 องศาของวงกลม แต่ในยางบางยี่ห้ออาจห่างไม่เท่ากัน หรือไม่ได้มี 6 จุด แต่ก็มีหลายจุดในแต่ละด้าน ยางในบางยี่ห้ออย่างมิชลิน ก็ใช้สัญลักษณ์ตัวบีเบนดั้มขนาดเล็ก เป็นจุดสังเกตแทนรูป 3 เหลี่ยม

    สัญลักษณ์เหล่านี้ ไม่ได้มีไว้บอกการสึก หรือดูว่าเมื่อไรสัญลักษณ์นี้ลบแล้วแสดงว่ายางสึกแต่อย่างไร เพราะอยู่บริเวณแก้มยางซึ่งไม่สัมผัสพื้นจึงไม่สึก (แต่ถ้าเข้าโค้งแรงๆ จนขอบของแก้มยางเอนแนบลงกับพื้นถนน สัญลักษณ์ก็อาจสึกได้)

    จุดสังเกตกับสันนูนในร่องของยางบางรุ่นเก่าอาจหา ยากสักนิด แต่เจอแน่ๆ

    สัญลักษณ์มาตรฐานอุตสาหกรรมไทย ตามด้วยปี ค.ศ. ที่ได้รับอนุมัติ ไม่ใช่ปีที่ผลิต (ซ้าย) ระบุประเทศที่ผลิต (กลาง) และขวาสุดรหัสของโรงงานผลิตที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่ต้องสนใจ

    ซ้ายสุดระบุว่าเป็นยางที่ไม่ใช้ยางใน ตัวอักษรกลุ่มขวาระบุการรับน้ำหนักของยาง และการเติมลมยาง

    เมื่อเจอสัญลักษณ์ข้างต้นที่ริมนอกของแก้มยางแล้ว ก็ให้มองในแนวเดียวกันไล่ขึ้นไปที่หน้ายาง และมองลึกลงไปที่ร่องยาง ก็จะพบกับเนินเตี้ยๆ ที่ร่องยาง เมื่อไรที่ดอกสึกไปถึงยอดเนินนั้น แสดงว่าดอกหมดหรือร่องตื้นและไม่ควรใช้ต่อ (ไม่ใช่ต้องสึกจนหมดเนินหรือหมดร่อง)

    สาเหตุที่ผู้ผลิตแนะนำให้ใช้จนเหลือแค่ร่องตื้นๆ ไม่ใช่หมดร่อง ทั้งที่ดูแล้วร่องนั้นน่าจะยังพอช่วยในการรีดน้ำได้
    เพราะจริงๆ แล้ว ร่องตื้นๆ นั้น มีช่องว่างให้น้ำที่ถูกรีดไล่ออกจากหน้ายางแทรกตัวอยู่ได้น้อยมาก ส่งผลให้หน้ายางไม่สามารถรีดน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

    เรื่องความสูงของเนินขนาดเล็กในร่องยาง ว่าแต่ละยี่ห้อสูงเท่าไร ? พบว่าในแต่ละยี่ห้ออาจไม่เท่ากัน แต่อยู่ในช่วงที่ใกล้เคียงกัน คือ 1.5-2 มิลลิเมตร ซึ่งผู้ใช้ก็ไม่ต้องดิ้นรนหาตัวเลขนั้นว่าเป็นเท่าไร

    เอาเป็นว่าผู้ผลิตได้ทดสอบหาความเหมาะสมมาแล้วว่า ยางรุ่นนั้น ควรเหลือดอกยางสูงไม่ต่ำกว่าเท่าไรแล้วยังใช้งานได้ดี และออกแบบทำเนินให้สูงตามนั้น ผู้ใช้ก็แค่ใช้จนดอกสึกลงไปเท่ากับยอดเนินก็ควรเปลี่ยนยางชุดใหม่

    ยางเส้นนี้ถูกใช้จนดอกยางสึกลง ไปเท่ากับสันนูนในร่องยาง (บน)

    ยางบางรุ่นเน้นพื้นที่สัมผัสมากกว่าการรีดน้ำ จึงทำร่องยางให้น้อยที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ยางรถยนต์ก็สามารถหมดอายุได้แม้ดอกยังไม่หมด เช่น ยางเก่าเก็บ รถยนต์ใช้งานไม่มาก จอดมากกว่าขับ ทำให้หน้ายางไม่ค่อยสึก แต่ยางก็หมดอายุได้ จากการหมดสภาพทั้งของโครงสร้างภายใน และความแข็งของเนื้อยาง เพราะโดยพื้นฐานของผลิตภัณฑ์ยางทุกประเภท จะแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ตามความร้อนและเวลาที่ผ่านไป เนื้อยางที่แข็ง ย่อมมีแรงเสียดทานน้อยลงหรือลื่นขึ้นนั่นเอง

    โดยเฉลี่ยแล้ว แม้ดอกยางยังไม่หมด ก็ไม่ควรใช้งานเกิน 3 ปี ถ้าจะใช้เกิน ควรพิจารณาความแข็ง การแตกลายงา หรือการแตกปริของเนื้อยางอย่างละเอียด

    รายละเอียดอื่นๆ บนแก้มยาง
    ถ้าสังเกตกันอย่างละเอียด จะพบว่ามีระบุไว้มากมายจนลายตา บางอย่างอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย เช่น
    - ประเทศผู้ผลิต
    - น้ำหนักบรรทุกสูงสุดเป็นหน่วยน้ำหนักเลย ไม่ต้องเปิดตารางเทียบ
    - แรงดันลมสูงสุดที่ยางรับได้
    - ROTATION หรือลูกศรระบุทิศทางการหมุนที่ควรใส่ให้ถูกด้าน
    - รหัสแม่พิมพ์ TREAD WEAR TRACTION TEMPERATURE บอกประสิทธิภาพด้านต่างๆ แบบกว้างๆ
    - ตรา 4 เหลี่ยมตะแคง มาตรฐานอุตสาหกรรมของไทย (มอก.) ซึ่งมักมีปีที่ได้รับรองระบุไว้ควบคู่ด้วย ระวังจะสับสนกับปีที่ผลิตยาง
    - TUBELESS ไม่ต้องใช้ยางใน
    - จำนวนชั้นของใยเหล็กหรือผ้าใบ

    จำหน่ายยางรถทุกขนาด

    ยางเรเดียล ยางรถบรรทุก
    165R13, 155/70R12, 155/70R12, 175/70R13, 185/70R13, 185/70R14, 185/65R14, 205/65 R15, 195/60 R15, 195/65R15, 195R14C, 235/75R15, 205/70R15C, 215/70R15C, 215/70R15 C, 225/70R15, 245/70R16, 30X9.5R15, 31X10.5R15, 195R14C, 205R14C, 265/70R16, 205/45R17, 215/45R17

    ยางรถบรรทุกเล็ก-กลาง (Light Truck)
    6.00-14, 6.50-14, 6.50-15, 7.00-15, 7.50-15, 8.25-15, 9.00-15, 10.00-15, 6.50-16, 7.00-16, 7.50-16, 8.25-16, 9.00-16, 10.00-16, 11.00-16, 6.50-20, 7.00-20, 7.50-20

    ยางรถบรรทุกเล็ก-กลาง (Light Truck Radial)
    7.50R15, 10.00R15, 6.50R16, 7.00 R 16, 7.50 R 16, 7.50 R 16, 8.25 R 16, 9.00R16, 10.00R16, 11.00R16, 9.5R17.5, 215/75R17.5, 225/75R17.5, 235/75R17.5, 245/75R17.5, 245/70R19.5, 245/75R19.5, 265/75R19.5

    ยางรถโดยสารและยางรถบรรทุกใหญ่ (Bus & Truck Tire)
    8.25-20, 9.00-20, 10.00-20, 11.00-20, 12.00-20, 13.00-20, 14.00-20, 11.00-22, 12.00-24

    ยางเรเดียลรถโดยสารและยางรถบรรทุกใหญ่ (Truck and Bus Radial)
    9.00R20, 10.00R20, 11.00R20, 12.00R20, 13.00R20, 14.00R20, 11.00R22, 11R22.5, 275/70 R 22.5, 275/80R22.5, 295/75R22.5, 12R22.5, 295/80R22.5, 315/80R22.5, 385/65R22.5, 425/65R22.5, 12.00R24, 11R24.5, 285/75R24.5

    ยางรถตักเล็ก (Skid Steer Tire), รถตักล้อยาง komatsu, รถตัก JCB, รถตักเอวอ่อน, รถตักดิน, อะไหล่รถตัก, รถแม็คโคร, รถขุด, รถขุดล้อยาง, รถตักหน้าขุดหลัง, รถขุดดิน, รถขุด komatsu, รถขุด kobelco, รถขุดเล็ก, รถแบคโฮ, รถตักล้อยาง
    5.70-12, 23x8.50-12, 5.50-15, 7.50-15, 27x10.50-15, 27x8.50-15, 10-15, 12/65-15, 125/65-15, 27x10.50-15, 31x15.50-15, 33x12.50-15, 125/70-16, 14.0/65-15, 12.5/70-16, 15.5/60-16, 15.0/55-17, 15.0/55-17 (380/55-17), 10-18, 10.5/80-18 ,12.0/12.5-18, 12.5/80-18, 12.0/12.5-18, ,15.5/60-18, 15.5/70-18, 10-16.5 NHS,12-16.5 NHS, 14-17.5 NHS, 15-19.5 NHS, 16.0/70-20 (405/70-20), 42x17-20, 17.5/65-20, 14.9-24, 16/70-24 (405/70-24), 500/60-22.5 (161A8/149A6)

    ยางรถตัก (Loader Tire)
    16.9-24, 12.00-24, 13.00-24, 14.00-24, 16.9-24, 18.4-24, 19.5L-24, 16.00-24, 16.00-25, 15.5-25, 17.5-25, -25, 20.5-25, 23.5-25, 26.5-25, 29.5-25, 18.00-25, 21.00-25, 18.4-26, 16.9-28, 29.5-29, 18.00-33, 35/65-33, 21.00-35, 24.00-49, 27.00-49, 45/65-45, 50/65 -51, 65/60-51, 30.00-51, 55.5/80-57, 65/65-57

    ยางรถเกรด (Grader Tire)
    10.5/80-18, 12.5/80-18, 8.25-20, 12.00-20, 13.00-20, 14.00-20, 500/60-22.5, 600/50-22.5, 710/40-22.5, 18-22.5, 13.00-24, 14.00-24, 16.00-24, 16.00-25, 15.5-25, 17.5-25, 18.00-25, 20.5-25, 23.5-25, 26.5-25, 18.4-26, 385/95R24 (14.00R24), 385/95R25 (14.00R25), 445/95R25 (16.00R25), 445/95R24 (16.00R24), 505/95R25 (18.00R25), 445.80R25 (17.5R25), 525/80R25 (20.5R25), 23.5R25, 26.5R25

    ยางสำหรับรถเครื่องจักรกล (Earthmover Tire)
    14.00-24, 16.00-25, 18.00-25, 18.00-33, 21.00-25, 33/65-33, 21.00-35, 24.00-35, 33.25-35, 37.5-39, 40/65-39, 41.25/70-39, 45/65-45, 24.00-49, 27.00-49, 30.00-51, 50/65-51, 65/60-51, 55.5/80-57, 65/65-57

    ยางรถเครน (Crane Tire)
    12.00-20, 13.00-20, 14.00-20, 13.00-24, 14.00-24, 16.00-24, 16.00-25, 18.00-25, 20.00-25, 23.00-25, 26.5-25, 385/95R24 (14.00R24), 385/95R25 (14.00R25), 445/95R25 (16.00R25), 445/95R24 (16.00R24), 505/95R25 (18.00R25), 445/80R25 (17.5R25), 525/80R25 (20.5R25), 23.5R25, 26.5R25, 17.5R29

    ยางรถบดถนนและสั่นสะเทือน (Compactor Tire)
    95/65-15, 7.50-15, 7.50-16, 8.25-20, 9.00-20, 11.00-20, 12.00-20, 14/70-20 15.00-20, , 13.00-24, 23.1-26

    ยางอุตสาหกรรมการเกษตร (Industrial Agricultural Tire)
    11L-15, 11.5/80-15.3, 12.5/80-15.3, 11L-16, 380/55-17, 14.9-24, 16.9-24, 17.5L-24, 18.4-24, 19.5L-24, 21L-24, 16.9-28

    ยางตันรถยก (Solid Tire) ยางลมรถยก, ยางลมโฟกลิฟ
    3.50-5, 4.00-8, 2.00-8, 5.00-8, 15x4.50-8, 16x6-8, 18x7-8, 16x5-9, 6.00-9, 21x8-9, 140/55-9, 200/50-10, 6.50-10, 23x9-10, 4.50-12, 7.00-12, 23x10-12, 27x10-12, 8.25-12, 2.50-15, 3.00-15, 5.50-15, 7.00-15, 355/65-15, 7.50-15, 8.15-15 (28x9-15), 8.25-15, 28x12.5- 15, 32x12.1-15, 300-15, 30x10-18, 30x10-20, 7.50-16, 9.00-16, 8.25-20, 9.00-20, 10.00-20, 12.00-20, 12.00-24, 13.00-24, 14.00-24, 14.00-25, 16.00-25, 18.00-25, 17.5-25, 20.5-25, 23.5-25, 26.5-25, 29.5-25, 15x4-8, 16x5-10.5, 16x6-10.5, 15.5-11.25, 16.25-11.25, 16.25x6-11.25, 18x6-12.15, 18x7-12.125, 21x7-15, 21x8-15, 22x2-16, 22x14-16, 28x10-22, 40x16-30, 250x105-170, 9.5-5, 10.5x6-5, 10x5-6.1875, 10x3-6.25, 10x4-6.25, 10x6-6.25, 10x7-6.25, 11x4-6.5, 12x3.5-8, 12x4-8, 12x5-8, 13.3.5-8, 13x4.5-8, 13x5-8, 13.5x4.5-8 14x4.5-8, 16.25x5-11.25, 16.25x6-11.25, 16.25x7-11.25, 16x4-12.125, 16x5-12.125, 17x5-12.125, 17x6-12.125, 17x5-12.125, 17x6-12.125, 18x5-12.125, 18x6-12.125, 18x7-12.125, 18x8-12.125, 18x9-12.125,20x8-15, 20x9-15, 8x2/1.20, 10x2/1.20, 10x3/1.20, 28x12.5-15/9.75, 30x10-20/7.5, 31x10-20/7.5, 33x12-20/7.5, 33x10.75-20/7.5

    ยางรถไถ (Agricultural Tire)
    3.50-6, 4.00-6, 13X5.00-6, 3.50-7, 4.00-7, 3.50-8, 4.00-8, 4.00-9, 16X6.50-8, 4.00-10, 4.50-10, 5.00-10, 6.50-10, 23x10-10, 4.00- 12, 5.00-12, 6.00-12, 6-12, 23X8.50-12, 23X10.5-12, 26X12.0-12, 5.00-13, 5.60-13, 5.00-14, 6.00-14, 6.50-14, 7.00-14, 3.50-15, 5.00-15, 10.0/75-15.3, 10.0/80-15.3, 4.00-16, 5.00-16, 5.50-16, 6.00-16, 6.50-16, 7.00-16, 7.50-16, 8.00-16, 8.25-16, 9.00-16, 9.5 -16, 10.00-16, 11.00-16, 12.4-16, 5.50-17, 6.00-18, 7.50-18, 8.00-18, 4.00-19, 6.00-19, 6.50-20, 7.50-20, 9.5-20, 11.2-20, 16/70- 20, 8.3-22, 9.5-22, 9.5-24, 11.2-24, 12.4/11-24, 12.4-24, 13.6-24, 14.9-24, 16.9-24, 16.5/85-24, 15.5/80-24, 13.6-26, 14.9-26, 18.4-26, 23.1-26, 12.4/11-28, 12.4-28, 16.9/14-28, 16.9-28, 18.4/15-28, 18.4-28, 16.9/14-30, 16.9-30, 18.4/15-30, 18.4-30, 23.1-30, 12.4-32, 14.9-34, 16.9/14-34, 16.9-34, 18.4/15-34, 18.4-34, 13.6-38, 14.9-38, 15.5-38, 16.9-38, 18.4/15-38, 18.4-38, 20.8-38, 24.5 -32, 23.1-26, 28L-26, 18.4-42

    ยางรถอุปกรณ์ภาคสนาม (Lawn & Garden Equipment)
    11x4.00-4, 4.00-4, 4.10/3.50-4, 11x4.00-5, 13x5.00-6, 13x6.50-6, 15x6.00-6, 16x6.50-8, 16x7.50-8, 18x6.50-8, 18x7.50-8, 18x8.50-8, 18x9.50-8, 20x10.00-8, 20x8.00-8, 4.80/4.00-8, 20x10.00-10, 23x10.50-12, 23x8.50-12, 23x9.50-12, 26x12-12

    ยางล้อรถเข็น (Wheel Barrow)
    4.00-6, 3.25/3.00-8, 3.50-8, 4.80/4.00-8

    ยางภาคสนาม (Implement Tire)
    2.50-4, 3.00-4, 4.10/3.50-4, 4.80/4.00-5, 4.10/3.50-5, 4.10/3.50-6

    ยางโกคาร์ท
    18x8.50-8,10.00x4.50-5,11.00x7.10-5,10.00x4.50-5

    ยางออฟโรด
    33x10.5-16, 36x12.5-16

    ยาง ATV ยางรถเอทีวี ยางรถวิบาก (All-Terrain Vehicle Tire, ATV Tire)
    16x8.00-7, 16x6.50-8, 20x7.00-8, 22x11.00-8, 22x11.00-9, 22.5x12.00-9, 25x12.00-9, 22x11-10, 24x11.00-10, 25x12.00-10, 23x8.00-11, 24x9.00-11, 24x10.00-11, 25x8.00-12, 25x9.00-12, 25x10.00-12, 26x10.00-12, 26x12.00-12, 27x9.50-12, 27x10.00-12, 27x12.00-12, 28x9.50-12, 28x10.00-12, 28x12.00-12

    ยางรถกอล์ฟ (Golf Tire)
    18x8.50-8, 205/50-10

    ยางรถโกคาร์ท (Go-Kart Tire)
    10x4.50-5, 11x6.00-5, 11x7.10-5, 36/100-5, 45/110-5, 60/110-5, 71/110-5, 45/100-5, 55/110-5, 75/110-5